เชื่อว่าหลาย ๆ คนเวลาดื่มนมทีไรมักจะมีอาการท้องไส้ปั่นป่วน ตามมาด้วยอาการท้องเสีย จนพาลไม่อยากดื่มนมไปซะอย่างนั้น แล้วรู้ไหมคะว่าจริง ๆ แล้วอาการ ดื่มนม ท้องเสีย นี้พบได้บ่อยในคนไทยทีเดียว เพราะอะไรเวลาดื่มนม แล้วท้องเสียทุกที ไปหาคำตอบกันเลยค่ะ
สำหรับเหตุผลที่ ดื่มนม ท้องเสีย นั้น ไม่ใช่เกิดจากอาการแพ้นมอย่างที่หลายคนเข้าใจกันหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะในร่างกายคนไทย รวมทั้งคนแถบเอเชีย และแถบแอฟริกาจะผลิตน้ำย่อยสำหรับย่อยแลคโตสออกมาตั้งแต่แรกเกิด จนถึงอายุ 4-5 ปีเท่านั้น และอย่าลืมว่า ในน้ำตาลแลคโตสนี้พบในน้ำนมที่ได้มาจากสัตว์ทุกชนิด
ดังนั้น เมื่อผ่านพ้นวัยเด็กไปแล้ว น้ำย่อยตัวนี้จะลดน้อยลงจนหมดไป จึงไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสได้ พอเราดื่มนม ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมแพะ ฯลฯ น้ำตาลในนมจะผ่านไปสู่ลำไส้ใหญ่แล้วถูกย่อยด้วยจุลินทรีย์ เกิดเป็นกรดและแก๊ส ทำให้ท้องเสียได้ เพราะไม่มีน้ำย่อยมาย่อยแลคโตสอีกแล้ว หรือบางคนอาจเกิดอาการท้องอืด จุกเสียด แน่นหน้าอก รวมทั้งผายลมบ่อย ๆ ด้วย
แต่ใช่ว่าอาการ ดื่มนม ท้องเสีย จะเป็นกับทุกคนนะคะ เพราะยังมีอีกหลายคนที่ดื่มนมแล้ว ไม่เกิดอาการใด ๆ เลย โดยทางการแพทย์เชื่อว่า คนที่ดื่มนมวัวมาอย่างต่อเนื่อง แบคทีเรียในลำไส้จะสามารถสร้างน้ำย่อยน้ำตาลแลคโตสขึ้นมาได้เอง จึงทำให้หลายคนไม่มีอาการท้องเสียให้เห็น เมื่อดื่มนมเข้าไปแล้ว
แต่สำหรับคนที่ ดื่มนม ท้องเสีย ก็มักจะเลิกดื่มนมไปเลย ซึ่งก็ส่งผลต่อการขาดแคลเซียมได้ ดังนั้นมีคำแนะนำว่า สำหรับคนที่ท้องเสีย หรือแน่นท้องเมื่อดื่มนม ให้ดื่มนมหลังรับประทานทานอาหารแทน และไม่ควรดื่มนมระหว่างท้องว่าง เพื่อไม่ให้เกิดแก๊สขึ้นพร้อมกันจำนวนมาก ๆ จนเกิดอาการไม่สบายท้องได้
หรืออาจจะลองลดปริมาณการดื่มนมดู ค่อย ๆ ทานทีละนิด แต่ให้ดื่มหลังรับประทานอาหารเช่นกัน หากยังท้องเสียหรือมีอาการไม่ปกติอยู่ ในสัปดาห์ถัดไป ก็ให้ลดปริมาณลงมาอีกครึ่งหนึ่ง แล้วทานปริมาณนั้นทุกวัน จนได้ปริมาณการดื่มนมที่ไม่ทำให้เกิดอาการแล้ว ก็ค่อย ๆ ลองเพิ่มปริมาณนมให้มากกว่าเดิมในสัปดาห์ต่อ ๆ ไป เพื่อหาปริมาณนมที่ดื่มแล้วไม่เกิดอาการนั่นเองค่ะ
นอกจากนี้ หากไม่ชอบ หรือไม่อยากดื่มนม ก็อาจทานนมวัวที่อยู่ในรูปอื่น ๆ เช่น โยเกิร์ต แทนได้ และถ้าหากกลัวว่าจะได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ ก็สามารถทานอาหารประเภทอื่นที่มีแคลเซียมชดเชยแทนได้ค่ะ เช่น ผักใบเขียว งาดำ แต่อย่างไรเสียอะไรก็คงไม่ดีเท่ากับการดื่มนมสดอยู่แล้วล่ะค่ะ
ที่มา :: กระปุกดอทคอม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น